AHA, BHA, PHA คืออะไร?…ต่างกันอย่างไร ใช้ตัวไหนดี?

1945
AHA, BHA, PHA

หน้าหมองคล้ำ มีรอยดำ รอยแดงจากสิว การใช้ AHA, BHA และ PHA ช่วยได้ เพราะสาร 3 ตัวนี้มีคุณสมบัติคล้ายกัน ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดการอุดตันของสิ่งสกปรก แต่บางคนก็ใช้ AHA แล้วเหมาะกว่า บางคนใช้ BHA แล้วดีกว่า หรือบางคนใช้ได้แต่ PHA เท่านั้น เพราะฉะนั้นต้องดูว่าสารแต่ละแบบมีการทำงานอย่างไร เหมาะกับผิวแบบไหน และมีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง

AHA, BHA, PHA

AHA คืออะไร?

AHA (เอเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า Alpha Hydroxy Acids คือสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นกรด มีลักษณะเป็นสายสั้นๆ ได้มาจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาล ผลไม้ นม ถั่ว ที่พบเห็นได้ในเครื่องสำอาง เช่น Lactic Acid ที่ได้จากนม, Glycolic Acid ที่ได้จากอ้อย, Citric Acid ที่ได้จากส้มหรือเลมอน โดย AHA เป็นสารที่ละลายในน้ำได้และสามารถซึมเข้าไปทำปฏิกิริยากับผิวหนังชั้นนอกเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผิวเรียบเนียนขึ้น

ประโยชน์ของ AHA

การทำงานของ AHA ทำให้ผิวพรรณเราดีขึ้นได้ดังนี้

  1. ช่วยผลัดเซลล์ผิว AHA สามารถซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหนัง จึงทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้น รอยดำต่างๆ ดูจางลง
  2. ช่วยรักษาสมดุลกรดด่าง ค่า pH ที่เป็นกลางปกติแล้วอยู่ที่ 7 แต่สำหรับผิวทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4.7 เพราะผิวมีเกราะป้องกันผิวจากแบคทีเรีย เช่น ไขมัน กรดแลคติก กรดอะมิโน ซึ่งช่วยรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันเชื้อโรค ถ้าผิวหน้ามีค่า pH ต่ำเกินไป จะทำให้ผิวมีความเป็นกรดสูง จะทำให้ผิวมีอาการระคายเคือง แต่ถ้ามีค่า pH สูง หรือค่าความเป็นด่างมาก จะส่งผลให้ผิวแห้ง และระคายเคืองได้ง่ายมาก เพราะว่าความเป็นด่างจะไม่สามารถปกป้องผิวจากเชื้อโรคได้ และจะนำไปสู่ปัญหาริ้วรอยก่อนวัยอันควร ซึ่งการใช้ AHA จะช่วยปรับสมดุลและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วย

AHA เหมาะกับใคร

AHA ช่วยเสริมสร้างความชุ่มชื้นให้ผิว และเสริมสร้างคอลลาเจน จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวที่อ่อนแอจากการถูกแดดทำร้าย และผิวแพ้ง่าย

ข้อควรระวังในการใช้ AHA

  1. ไม่ควรใช้ความเข้มข้นสูงเกินไป เพราะจะทำให้ผิวระคายเคือง เกิดผื่นคัน แพ้แสง และอาจทำให้เกิดรอยดำ
  2. ไม่ควรใช้ ติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ แม้ยังไม่มีผลวิจัยที่แน่นอน แต่ก็อาจทำลายเซลล์ผิวชั้นนอกสุดที่ทำหน้าที่ปกป้องเชื้อโรคและมลภาวะต่างๆ ทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ผิวอ่อนแอ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
  3. ไม่ควรใช้ AHA ควบคู่กับ BHA
  4. เมื่อใช้ AHA ควรใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดเสมอ เพราะ AHA มีความไวต่อแสงแดด อาจทำให้ผิวคล้ำ หมอง ได้ง่าย

BHA คืออะไร?

BHA (บีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า Beta Hydroxy Acids คือ สารที่สังเคราะห์ขึ้น ละลายในไขมันได้ สารที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในตระกูล BHA คือ Salicylic acid (ซาลิไซลิก เอซิด) โดย BHA สามารถซึมเข้าไปถึงต่อมไขมันได้เพราะละลายในไขมัน จึงทำให้ทำความสะอาดรูขุมขนได้ล้ำลึก ลดเลือนริ้วรอย และลดปัญหาสิวได้

ประโยชน์ของ BHA

การทำงานของ BHA ทำให้ผิวพรรณเราดีขึ้นได้ดังนี้

  1. ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า โดยเฉพาะผิวที่แห้งลอกเป็นขุย ทำให้ลดการอุดตันของสิว ผิวกระจ่างใสขึ้น
  2. ลดการอักเสบของสิว โดยช่วยสลายสิวอุดตันทั้งชนิดหัวเปิดและหัวปิดโดยละลายไขมันในผิว ทำให้การอักเสบของสิวลดลง

BHA เหมาะกับใคร

BHA มีคุณสมบัติโดดเด่นตรงที่ละลายไขมันได้ จึงเหมาะสำหรับคนที่หน้ามัน และรูขุมขนกว้าง เพราะสามารถทำความสะอาดได้ถึงชั้นต่อมไขมัน ลดสิวอุดตันได้ดี

ข้อควรระวังในการใช้ BHA

  1. ไม่ควรใช้ความเข้มข้นสูงเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง ถึงขั้นผิวลอก และจะทำให้ภูมิคุ้มกันของผิวต่ำลงด้วย ไม่สามารถปกป้องผิวจากเชื้อโรคต่างๆ ได้
  2. ไม่ควรใช้ BHA พร้อมกับ AHA
  3. ไม่ควรใช้บ่อยหรือติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ เพราะ BHA มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว อาจทำให้ผิวหน้าบางลงได้
  4. ทาครีมกันแดดเสมอเมื่อใช้ BHA เพราะ BHA ทำให้ใบหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจทำให้หมองคล้ำ เกิดริ้วรอยได้ง่าย

PHA คืออะไร?

PHA (พีเอชเอ) ย่อมาจากคำว่า Polyhydroxy Acids คือ กรดผลไม้ที่มีโมเลกุลใหญ่กว่า AHA จึงซึมซาบสู่ผิวได้ช้าลง ทำให้มีอาการระคายเคืองช้ากว่า สามารถผลัดเซลล์ผิวได้อย่างอ่อนโยน และให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่ผลลัพธ์จะเห็นผลช้าลง

ประโยชน์ของ BHA

การทำงานของ PHA ทำให้ผิวพรรณของเราได้ดีขึ้นได้ดังนี้

  1. ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยน เนื่องจากโมเลกุลของ PHA มีขนาดเล็ก จึงค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ผิวทีละนิด ทำให้เซลล์ผิวค่อยๆ ผลัดออกมาอย่างอ่อนโยน
  2. อ่อนโยนต่อสิว เนื่องจาก AHA และ BHA อาจจะกระตุ้นให้สิวให้อักเสบมากขึ้นได้ ขณะที่ PHA อ่อนโยนกว่า จึงสามารถใช้กับผิวหน้าที่มีสิวได้

PHA เหมาะกับใคร

PHA เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง และไม่สามารถใช้ AHA ได้ รวมไปถึงคนที่เป็นสิว เพราะ PHA มีความอ่อนโยนมากกว่า ไม่กระตุ้นให้สิวอักเสบ

ข้อควรระวังในการใช้ PHA

  1. แม้ว่าจะมีความปลอดภัยกว่า AHA และ BHA มาก แต่ก็ไม่ควรใช้ PHA ที่มีความเข้มข้นสูงจนเกินไป
  2. ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  3. ทาครีมกันแดดเสมอเมื่อใช้ PHA

การใช้ AHA, BHA และ PHA เป็นตัวช่วยในการบำรุงรักษาผิวหน้าได้ดีขึ้น เพราะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ไม่มีสิ่งกีดขวางสารบำรุงจากสกินแคร์ต่างๆ ให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวหน้าได้เป็นอย่างดี หน้าก็จะดูกระจ่างใสเปล่งปลั่งขึ้น แต่เวลาในการทาที่เหมาะที่สุดคือตอนกลางคืน และที่สำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกจากบ้านในช่วงกลางวัน เพราะผิวหน้าจะบางลงในช่วงที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเหล่านี้นั่นเอง