เข้าหน้าร้อนทีไร อาหารก็มัดจะบูดง่าย นอกจากนี้ยังอากาศที่ร้อนยังทำให้เชื้อโรคในอาหารเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย ท้องร่วง กลายเป็นโรคยอดฮิตในหน้าร้อน แต่นอกจากสาเหตุนี้แล้ว โรคท้องเสียยังเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นด้วย
โรคอุจจาระร่วง ท้องเสีย คืออะไร?
ท้องเสีย หรือ อุจจาระร่วง (Diarrhea) คือ โรคที่มีอาการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นน้ำ มากกว่าปกติ บางครั้งมีมูกเลือดปะปนมาด้วย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกระเพาะลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
อาการของโรคอุจจาระร่วง ท้องเสีย
อาการของโรคอุจจาระร่วงที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- ถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป อาจถ่ายเป็นมูกเลือดร่วมด้วย
- มีไข้ หนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว
- ปวดท้อง คลื่นไส้
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- เลือดจาง
- ตับและม้ามโต
- ในเด็กอาจมีอาการชักและซึม
อาการท้องเสียเป็นอาการที่สามารถบรรเทาลงได้เอง ยกเว้นกรณีต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์ เพราะมีความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะขาดน้ำ
- ไข้ขึ้นสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส
- ท้องเสียติดต่อกันมากกว่า 2 วัน
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- สำหรับเด็กเล็กหากมีอาการเกิน 1 วันต้องรีบพบแพทย์ทันที
สาเหตุของโรคอุจจาระร่วง ท้องเสีย
สาเหตุของโรคอุจจาระร่วง แบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
แบบเฉียบพลัน
1. การติดเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการท้องเสีย ได้แก่ เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ เชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อชิเกลลา และเชื้ออีโคไล ซึ่งมักปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร พบได้บ่อยในฤดูร้อนเพราะมีอุณหภูมิที่พอเหมาะในการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
2. การติดเชื้อไวรัส
ไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ได้แก่ โรต้าไวรัส, โนโรไวรัส, ไซโตเมกาโลไวรัส, เฮอร์พีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส และไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น โดยไวรัสโรต้ามักก่อให้เกิดท้องเสียในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปีมากที่สุด
ผู้ป่วยมักมีไข้ต่ำ อุจจาระร่วงและอาเจียน บางคนมีอาการน้อยและหายได้เอง แต่ถ้าเป็นเกิน 2 วันควรพบแพทย์ ที่สำคัญอาการท้องร่วงท้องเสียที่เกิดจากเชื้อไวรัสสามารถติดต่อกันได้ จึงไม่ควรให้ผู้ป่วยคลุกคลีกับผู้อื่น
3. การได้รับเชื้อปรสิต
เชื้อปรสิตที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ได้แก่ เชื้อไกอาเดีย, เชื้อแอนตามีบาฮิสโตลิติกาหรือเชื้อบิดอะมีบา และเชื้อคริปโตสปอริเดียม เป็นต้น สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
4. อหิวาตกโรค
โรคนี้พบไม่บ่อย แต่ก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง เสียน้ำอย่างรวดเร็ว และอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ เกิดจากการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด จึงควรทำอาหารให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้ง เพราะเชื้ออหิวาตกโรคจะตายด้วยความร้อน
แบบเรื้อรัง
อาการท้องเสียที่เกิดขึ้นต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ ถือเป็นอาการท้องเสียเรื้อรัง สาเหตุแบ่งได้ดังนี้
- โรคในระบบทางเดินอาหารและโรคลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคโครห์น โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
- ร่างกายไม่สามารถย่อยสารอาหารบางประเภท เช่น น้ำตาลแลคโตสที่พบมากในนม หรือสารทดแทนความหวาน
- ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคมะเร็ง รวมถึงยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม
- การผ่าตัดบางชนิด เช่น การผ่าตัดลำไส้ หรือการผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกไป
วิธีการรักษาโรคอุจจาระร่วง ท้องเสีย
- งดรับประทานอาหาร 2-4 ชั่วโมงหลังจากมีอาการ
- รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม
- ดื่มน้ำหวานและเกลือแร่สำหรับผู้ป่วยท้องเสีย (ORS) ห้ามดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา
- ทารกสามารถดื่มนมแม่ได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นนมผงต้องชงให้เจือจางอีก 1 เท่าตัว
- ห้ามกินยาแก้ท้องเสียหรือยาหยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคยังคงอยู่ในกระเพาะลำไส้ ทำให้ปวดท้องและแน่นท้องมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และน้ำผลไม้
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและช้า เพื่อให้สามารถย่อยได้ง่าย และลดการสะสมแก๊สในลำไส้
- พยายามไม่เครียด เพราะความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นอาการท้องเสีย
ถ้าไม่ได้มีอาการท้องเสียรุนแรงจนต้องพบแพทย์ อาการมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน ถ้าเกินกว่านี้ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะถึงแม้โรคท้องร่วงท้องเสียมักไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็อาจเป็นตัวบ่งชี้โรคอื่น ๆ ที่แฝงอยู่ และเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการแย่ลง ดังนั้นรีบรักษาเนิ่น ๆ จะดีกว่า