โรคไมเกรน ป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานกับอาการปวดหัว รวมถึงอาการข้างเคียงอื่น ๆ จนส่งผลกระทบต่อการทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นผู้ป่วยควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุของการเกิดโรค เพื่อหาวิธีรักษาและบรรเทาอาการปวดไมเกรนให้ดีขึ้น
โรคไมเกรนคืออะไร?
![โรคไมเกรน ปวดหัว](https://www.lifestyleissue.com/wp-content/uploads/2024/01/migraines-ss-1491378257.jpg)
โรคไมเกรน (Migraines) เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นโรคที่มีอาการปวดหัวข้างเดียว และจะปวดอย่างรุนแรง ลักษณะของการปวดจะปวดแบบตุบ ๆ คล้ายเส้นเลือดเต้นที่ด้านข้างหรือด้านหน้าของศีรษะ และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้อาเจียน หรือไวต่อแสงและเสียงเพิ่มขึ้น อาการจะเกิดขึ้นประมาณ 4-72 ชั่วโมง การทำกิจกรรมทั่วไปสามารถทวีความปวดได้มากขึ้น หรืออาจปวดรุนแรงจนมีผลกระทบทำให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักพบในช่วงอายุ 22-55 ปี
อาการของโรคไมเกรน
![อาการโรคไมเกรน](https://www.lifestyleissue.com/wp-content/uploads/2024/01/migraines-ss-2372290247.jpg)
อาการของไมเกรนแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ดั้งนี้
- ไมเกรนที่ไม่เห็นแสงวูบวาบ หรือไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือน (Migraine without Aura) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พบมาก ผู้ป่วยจะปวดศีรษะไมเกรนโดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า
- ไมเกรนที่เห็นแสงวูบวาบ หรือไมเกรนที่มีอาการเตือน (Migraine with Aura) ผู้ป่วยจะมีการมองเห็นผิดปกติก่อนปวดหัวไมเกรน เช่น เห็นแสงวูบวาบ เห็นแสงซิกแซ็ก มีสีหรือไม่มีสี หรือภาพมืดไปบางส่วน เห็นภาพไม่ชัด หรือภาพบิดเบี้ยว และอาจมีอาการเตือนอื่น ๆ เช่น แขนหรือมือชา ชารอบปาก นึกชื่อไม่ออก พูดไม่ได้ ร่างกายซีกหนึ่งอ่อนแรง เป็นต้น
สาเหตุของโรคไมเกรน
![สาเหตุโรคไมเกรน](https://www.lifestyleissue.com/wp-content/uploads/2024/01/migraines-ss-603580877.jpg)
โรคไมเกรนเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากตัวเราเองและสิ่งแวดล้อม
1. ฮอร์โมน
สาเหตุที่โรคไมเกรนพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายอยู่ตลอด โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโทรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงและเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน ทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน (Menstrual Migraine) ซึ่งมักเกิดขึ้น 2 วันก่อนมีประจำเดือน จนถึงวันที่ 3 ของการมีประจำเดือน แต่ในผู้หญิงบางคนก็พบอาการไมเกรนในวัยหมดประจำเดือน (Menopause) ที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้
2. ความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์
อารมณ์ที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน คือ ความเครียด วิตกกังวล อาการตกใจ ช็อก ความตื่นเต้น ไปจนถึงภาวะซึมเศร้า
3. ความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
การทำงานหนัก ออกกำลังกายหรือใช้พลังงานมากจนเกิดความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือนอนหลับไม่เพียงพอ รวมถึงอ่อนเพลียเพราะการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน (Jet Lag) และภาวะเลือดมีน้ำตาลน้อย (Hypoglycaemia)
4. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลามีส่วนทำให้อาการไมเกรนกำเริบ และลักษณะอาหารที่รับประทานก็เช่นกัน โดยเฉพาะอาหารที่มีคาเฟอีน อย่างชา กาแฟ หรือช็อกโกแล็ต ผลไม้ตระกูลส้ม เนยแข็ง ชีส ไปจนถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
5. การใช้ยารักษาโรค
การใช้ยานอนหลับบางชนิด การใช้ยาคุมกำเนิด และการใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) ในสตรีวัยหมดประจำเดือน
6. สิ่งแวดล้อม
แสงสว่างจ้า ทั้งจากแสงแดด หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรทัศน์ เสียงดัง กลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นจากสิ่งที่มีกลิ่นรุนแรง อากาศที่เย็นจัด หรือการอยู่ในสภาพที่บรรยากาศอบอ้าว
วิธีการรักษาโรคไมเกรน
![วิธีรักษาโรคไมเกรน](https://www.lifestyleissue.com/wp-content/uploads/2024/01/migraines-ss-1198665838.jpg)
1. ระยะที่มีอาการปวดศีรษะ
หลังจากมีอาการปวดศีรษะ และเป็นอาการปวดที่ไม่รุนแรง สามารถใช้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) แต่ยาเหล่านี้ไม่เคยรับประทานเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้
ขณะเดียวกันก็มียาที่เฉพาะเจาะจงกับอาการปวดไมเกรน คือ ยากลุ่มทริปแทน (triptan) ที่บรรเทาอาการปวดไมเกรน รวมถึงอาการที่เกี่ยวข้อง คือ อาการคลื่นไส้อาเจียน อาการไวต่อแสงและเสียง เป็นต้น มีทั้งยาเม็ด ยาฉีด และยาพ่นจมูก รวมไปถึงยาแก้อาการคลื่นไส้ (Anti-nausea Medications) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย
2. ระยะที่ไม่ปวดศีรษะ
การรับประทานยาในระยะนี้คือการป้องกันไม่ให้ปวดไมเกรน ได้แก่ กลุ่มยากันชัก เช่น Topiramate, Valproic Acid กลุ่มยาปิดกั้นตัวรับแคลเซียม เช่น Flunarizine, Cinnarizine, Verapamil และกลุ่มยาปิดกั้นตัวรับเบต้า เช่น Propanolol, Atenolol, Metoprolol
อาการปวดหัวไมเกรน ถ้าเป็นอย่างรุนแรงจะส่งผลให้ทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างไม่ได้ในระยะที่มีอาการปวด และอาจเสียโอกาสในการทำงานหลาย ๆ อย่างไป หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคไมเกรน ให้เข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย เพื่อหาแนวทางในการรักษาและบรรเทาอาการที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป