อยากเล่นหุ้น!…วิธีเปิดบัญชีหุ้นและคำแนะนำในการเล่นหุ้นสำหรับมือใหม่

388
อยากเล่นหุ้น...วิธีเปิดบัญชีหุ้น

การเล่นหุ้น คือ การซื้อหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีโอกาสที่จะได้เงินปันผลหากบริษัททำกำไรได้ ขณะเดียวกันก็อาจขาดทุนได้ แต่ก็ยังมีนักลงทุนมากมายพร้อมที่จะรับความเสี่ยง เนื่องจากถ้ามีการศึกษาที่ดี และวางแผนให้รอบคอบ การเล่นหุ้นก็จะเหมือนการลงทุนที่ไม่ต้องลงแรงอะไร แต่ได้กำไรมากมายทีเดียว และสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ เราก็มีคำแนะนำในการเริ่มต้นลงทุนในหุ้นดังนี้

วิธีการเปิดบัญชีหุ้น

1. สมัครผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคาร

ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Net Banking ของธนาคารมาไว้ในอุปกรณ์ของเรา จากนั้นให้เข้าไปที่หน้าเมนู แล้วกดเลือกเปิดบัญชี ซึ่งขั้นตอนในการสมัครของแต่ละแอพพลิเคชั่นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะคล้ายกันคือ ยินยอมการเผยข้อมูล > กรอกข้อมูล > เลือกบัญชีเงินฝากที่จะใช้เปิดบัญชีหุ้น > ยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการ จากนั้นระบบจะแสดงผลการเปิดบัญชีหุ้นสำเร็จ และรอแจ้งผลการอนุมัติทาง SMS หรือ e-mail

2. สมัครผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร

หากธนาคารมีบริการสมัครผ่านเว็บไซต์ได้ ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ของธนาคาร เลือกเมนูเปิดบัญชีหุ้น > กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน > ตรวจสอบ e-mail จากธนาคาร กดยืนยัน > กรอกข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติม > ส่งเอกสารเป็นไฟล์ภาพ คือ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาหน้าแรกสมุดบัญชีธนาคาร สำเนาทะเบียนบ้าน และแหล่งที่มาของรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน > รอการยืนยันตัวตนและอนุมัติ

3. สมัครที่สาขาของธนาคาร

ไปที่สาขาของธนาคารนั้นพร้อมบัตรประชาชน ติดต่อเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องการเปิดบัญชีหุ้น จากนั้นเจ้าหน้าที่จะดำเนินการนำเอกสารมาให้เรากรอกข้อมูล เมื่อเสร็จเรียบร้อยสามารถรอรับผลการอนุมัติทาง SMS ได้เลย

คำแนะนำในการเล่นหุ้นสำหรับมือใหม่

1. ต้องรู้จักบัญชีซื้อขายหุ้น

ประเภทบัญชีซื้อขายหุ้นหลักๆ แล้วมีอยู่ 2 แบบ คือ

แบบที่ 1 – บัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance) หรือบัญชีวางเงินล่วงหน้า (Cash Balance Account) อธิบายแบบเข้าใจไม่ยากคือ มีเงินเท่าไหร่ในบัญชี ก็สามารถนำเงินจำนวนนั้นซื้อหุ้นได้เลย และถ้าต้องการซื้อเพิ่มก็โอนเงินเข้าบัญชีได้ บัญชีแคชบาลานซ์เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่และนักลงทุนที่มีเงินสำหรับการลงทุนไม่มาก หรือต้องการจำกัดวงเงินการลงทุน

แบบที่ 2 – บัญชีมาร์จิ้น (Margin Account) หรือ บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) เป็นบัญชีที่นักลงทุนลงทุนส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งโบรกเกอร์จะออกให้ก่อน ถือเป็นการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ โดยใช้เงินหรือหุ้นของตนเป็นหลักประกัน ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยสำหรับการกู้ยืมด้วย จึงเป็นบัญชีที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมรับความเสี่ยงได้มาก

สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังในบัญชีมาร์จิ้นคือ วงเงินกู้ยืมอาจเพิ่มหรือลดตามราคาหุ้นที่วางไว้เป็นหลักประกัน ถ้าราคาหุ้นลดลงมากๆ อาจถูกบังคับขาย วางหลักประกัน หรือเรียกเงินสดเพิ่ม

2. ต้องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเริ่มต้น

เมื่อรู้จักประเภทบัญชีไปแล้ว ก็ต้องศึกษาหุ้นด้วย ว่าควรเล่นหุ้นจากบริษัทไหนดี โดยต้องดูภาพรวมเศรษฐกิจรวมๆ ว่ามีแนวโน้มกำลังไปในทิศทางไหน และถ้าเลือกได้แล้วก็ไล่ดูข้อมูลแต่ละบริษัท เช่น รูปแบบการดำเนินงาน การทำกำไร และแนวโน้มการเติบโตในอนาคต

3. กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน

ผู้ลงทุนแต่ละคนมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน และมีงบประมาณในการเล่นหุ้นไม่เหมือนกัน จึงควรกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนให้ชัดเจน

4. ประเมินมูลค่าที่แท้จริง แล้วเลือกซื้อให้ถูกจังหวะ

การเล่นหุ้นนั้นจะได้กำไรจากส่วนต่างของมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นและราคาตลาด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตลอดเวลา ซึ่งเวลาที่ควรซื้อหุ้นคือ เวลาที่มูลค่าแท้จริงของหุ้นมีน้อยกว่าราคาตลาด และเวลาที่ควรขายหุ้นคือ เวลาที่มูลค่าแท้จริงของหุ้นมีมากกว่าราคาตลาด โดยการจะประเมินได้นั้นต้องอาศัยข้อมูลของราคาหุ้นในอดีต และการวิเคราะห์ทิศทางราคาหุ้นในอนาคต ซึ่งอาจมีการใช้เครื่องมือวิเคราะห์เข้ามาช่วยเพื่อการวางแผนซื้อขายหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ติดตามผลการลงทุนเสมอ เพราะหุ้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง จึงต้องหมั่นตรวจสอบอัตราผลตอบแทนแท้จริงกับอัตราผลตอบแทนที่คาดการณ์ไว้ อย่างน้อยทุก 3-6 เดือน เพื่อให้ปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ทันการเปลี่ยนแปลง และไม่ขาดทุน

สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่ สิ่งที่อยากแนะนำคือ เงินที่นำมาเล่นหุ้นนั้นต้องเป็นเงินเย็น ซึ่งหมายความว่าเป็นเงินที่เมื่อเสียไปแล้วก็ไม่ได้ลำบากหรือเดือดร้อน ถ้าต้องกู้ยืม หรือนำเงินสำหรับใช้จ่ายในบ้านมาเล่นหุ้นเพื่อหวังผลกำไรนั้นถือว่าเสี่ยงมาก เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้กำไรแน่นอน และอาจสูญเงินไปฟรีๆ อีกด้วย