กลูตาไธโอน (Glutathione) ช่วยผิวขาว!…บริโภคอย่างไรให้ปลอดภัย?

384
กลูตาไธโอน (Glutathione) ช่วยผิวขาว

หลายๆ คนอยากมีผิวขาวกระจ่างใส เพราะแต่งตัวง่าย ใส่เสื้อสีอะไรก็ดูสวย และยังดูมีออร่า ไม่หมองคล้ำ ช่วยเพิ่มเสน่ห์ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น การทำให้ผิวขาวขึ้นมีหลายวิธี กลูตาไธโอน (Glutathione) ก็จัดเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผิวขาว แต่ก็ต้องระมัดระวังในการบริโภคเข้าร่างกาย เพราะสารทุกอย่างย่อมมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

กลูตาไธโอนคืออะไร?

กลูตาไธโอน (Glutathione) หรือที่เรียกกันว่า “กลูต้า” คือสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในพืช สัตว์ และเห็ดราบางชนิด โดยตับในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์กลูตาไธโอนได้เอง ซึ่งกลูตาไธโอนเป็นโปรตีนขนาดเล็ก ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด คือ ซีสเตอีน (Cysteine) กลูตามิก (Glutamic) และไกลซีน (Glycine) แต่นอกจากการสังเคราะห์ด้วยตนเองแล้ว กลูตาไธโอนยังสามารถพบได้ในผลไม้ ผัก และเนื้อสัตว์ด้วย

คุณสมบัติของกลูตาไธโอนคือช่วยปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ จากอนุมูลอิสระที่สะสมในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น และยังช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกนอกร่างกาย จึงลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคต้อหิน โรคต้อกระจก โรคตับ โรคหอบหืด โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น และยังช่วยในการป้องกันจุดด่างดำ ริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์

กลูตาไธโอนทำให้ผิวขาวได้อย่างไร?

ถ้าให้อธิบายสั้นๆ และเข้าใจง่ายคือ กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติทางอ้อมที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดสีได้ แต่ถ้าอธิบายแบบละเอียดคือ สีผิวเข้มของคนเราเกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์ใช้เอนไซม์ไทโรซิเนสในกระบวนการสังเคราะห์เมลานิน ซึ่งเมลานินเป็นเม็ดสีทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้น และกลูตาไธโอนจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ทำให้กระบวนการสังเคราะห์เมลานินลดลง และผิวมีความขาวกระจ่างใสขึ้นนั่นเอง

บริโภคบริโภคกลูตาไธโอนอย่างไรให้ปลอดภัย?

1. การรับประทาน

สามารถเลือกได้ว่าจะรับประทานอาหาร หรืออาหารเสริม โดยอาหารที่มีกลูตาไธโอนมีดังนี้

  • อาหารที่อุดมด้วยซัลเฟอร์ เช่น กระเทียม หัวหอม และผักจำพวกกะหล่ำ เช่น คะน้า บร็อกโคลี่ ดอกกะหล่ำ
  • เวย์โปรตีนประเภท Bioactive เนื่องจากเป็นแหล่งของกรดอะมิโนซีสเตอีน (Cysteine)

ส่วนอาหารเสริม กลูตาไธโอนมีโมเลกุลใหญ่เกินกว่าจะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหาร จึงไม่สามารถนำกลูตาไธโอนมาทำเป็นอาหารเสริมโดยตรง ทั้งรูปแบบยาเม็ด แคปซูล หรือยาน้ำ ดังนั้นหากต้องการรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยให้ผิวขาว ควรรับประทานอะมิโนแอซิด เอ็นอะซิทิลซีสเตอีน (N-acetyl-cysteine) ที่เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กลูตาไธโอน โดยสามารถดูดซึมได้ง่ายและรวดเร็ว ก่อนจะไปรวมตัวกับโปรตีนอีก 2 ชนิด คือ อะมิโนแอซิด ไกลซีน (Clycine) และ กลูตาเมท (Glutamate) ก่อให้เกิดเป็นโมเลกุลกลูตาไธโอนในที่สุด

ข้อควรระวัง :

  • ไม่ควรหลงเชื่อคำชวนเชื่อของโฆษณาที่บอกว่าอาหารเสริมนั้นเป็นกลูตาไธโอนแท้ เนื่องจากไม่สามารถทำกลูตาไธโอนเป็นอาหารเสริมได้โดยตรง
  • ไม่ควรเลือกซื้ออาหารเสริมตามอินเทอร์เน็ต ควรเลือกซื้อตามร้านยาที่มีมาตรฐาน มีเภสัชกรคอยให้คำแนะนำ และต้องมี อย. รับรอง
  • การรับประทานอาหารเสริมเพื่อสังเคราะห์กลูตาไธโอน ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ถ้าหากรับประทานมากไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว มึนงง ตาพร่ามัว และมีสารตกค้างในร่างกาย ก่อให้เกิดนิ่วที่ไตหรือกระเพาะปัสสาวะได้

2. การฉีดกลูตาไธโอน

การฉีดกลูตาไธโอนต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ โดยแพทย์จะฉีดกลูตาไธโอนร่วมกับวิตามินซี อย่างไรก็ตาม กลูตาไธโอนสลายตัวได้ง่ายและรวดเร็วในกระแสเลือด เพราะไม่มีความคงตัว ดังนั้นสำหรับผู้ที่อยากให้ผิวขาวโดยการฉีดกลูตาไธโอน ต้องฉีดบ่อยๆ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

ข้อควรระวัง :

  • การฉีดกลูตาไธโอนต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ที่เชื่อถือได้
  • ถ้าฉีดในความเข้มข้นสูง อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ความดันต่ำ ช็อก และมีอาการกล้ามเนื้อสั่น ประสาทหลอน หายใจติดขัด อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • ถ้าได้รับเป็นระยะเวลานานจะตกค้างในร่างกาย ส่งผลเสียต่อสายตา เช่น เม็ดสีที่จอตาลดลง ได้รับแสงน้อยลง เสี่ยงต่อการตาบอดได้

3. การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ครีม เจลหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อวดอ้างว่ามีสารกลูตาไธโอนที่ทาแล้วทำให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ เพราะกลูตาไธโอนมีโมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ ทาแล้วไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด

แม้กลูตาไธโอน (Glutathione) จะช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม แต่การบริโภคอาหารเสริมหรือการฉีดกลูตาไธโอนเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการสะสมและส่งผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นการดูแลผิวด้วยวิธีทางธรรมชาติย่อมดีกว่าในระยะยาว รวมทั้งผิวขาวเหลืองและผิวสีเข้มก็มีส่วนช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดดในประเทศไทยที่แดดร้อนจัดอีกด้วย