การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นวิธีแก้ไขจุดบกพร่องของร่างกายโดยการดูดไขมันส่วนเกินออก เป็นการกระชับสัดส่วน เช่น หน้าท้อง แขน ขา ผู้ทำจะมีรูปร่างดีขึ้นตามต้องการ ปัจจุบันเทคโนโลยีการดูดไขมันได้รับการพัฒนาอย่างมาก เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดการเกิดบาดแผลให้ได้มากที่สุด ทำให้มีเทคโนโลยีดูดไขมันหลากหลายแบบ ระหว่างการทำจะมีความเจ็บน้อยลงกว่าเดิม และดูแลรักษาหลังทำง่ายขึ้น
ดูดไขมันคืออะไร?
การดูดไขมัน (Liposuction) คือ การศัลยกรรมอย่างหนึ่งเพื่อนำไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย เพื่อแก้ไขปัญหาการสะสมไขมันเฉพาะจุดที่ลดได้ยากแม้จะออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้ว เช่น สะโพก ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ก้น เหนียง
อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันไม่ใช่การทำให้น้ำหนักลดลง แต่เป็นการแก้ไขรูปร่างเฉพาะจุดเท่านั้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องการให้หุ่นดี มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ส่วนผู้ชายอาจต้องการลดไขมันหน้าท้องทำซิกแพคเพื่อให้ออกกำลังกายแล้วมีกล้ามท้องง่ายขึ้น
จุดที่นิยมดูดไขมัน
1. หน้าท้อง
หน้าท้องเป็นหนึ่งในจุดที่ลดไขมันได้ยาก บางคนก็ร่างกายผอมแต่มีพุง ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการแต่งตัว เสียบุคลิก ดังนั้นการดูดไขมันจึงเป็นการแก้ปัญหาที่รวดเร็วและตรงจุด โดยสามารถดูดไขมันได้ออกประมาณ 3-5 กิโลกรัม และรอบเอวจะเล็กลงประมาณ 5-10 เซนติเมตร
2. ต้นแขน
การออกกำลังกายจะช่วยในการลดน้ำหนักและทำให้หุ่นกระชับมากขึ้นเพราะมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่ามวลไขมันที่ขนาดใหญ่กว่า แต่ไขมันที่ต้นแขนเป็นจุดที่ลดได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นอีกจุดที่นิยมดูดไขมันกัน ซึ่งการดูดไขมันต้นแขน 1 ข้างจะดูดได้ครั้งละประมาณ 500-1,000 cc
3. ต้นขา
ต้นขาเป็นอีกจุดที่ออกกำลังกายกระชับสัดส่วนได้ยากพอๆ กับต้นแขน และเป็นจุดที่สังเกตเห็นความบกพร่องได้ชัด ทำให้ผู้ที่มีต้นขาใหญ่ไม่กล้าใส่กระโปรงหรือกางเกงสั้น รวมถึงกางเกงสกินนี่และกางเกงขาเดฟซึ่งเน้นสัดส่วน การดูดไขมันที่ต้นขา 1 ข้างจะดูดได้ครั้งละประมาณ 1,000 – 2,500 cc
เทคโนโลยีที่ใช้ดูดไขมัน
1. Vaser
Vaser คือ การดูดไขมันโดยปล่อยพลังงานคลื่นเสียงหรือ Ultrasound ลงไปในชั้นผิวหนัง เพื่อให้เซลล์ไขมันกลายเป็นของเหลวแล้วดูดออกมาผ่านท่อขนาดเล็ก การทำ Vaser จะทำให้เกิดรอยแผลเล็กน้อย และผิวเรียบเนียนไม่เป็นก้อนหลังทำ
อ่านเพิ่มเติม…
2. Body Tite
Body Tite คือ การดูดไขมันโดยปล่อยคลื่น RF (Radio Frequency) ที่เป็นคลื่นความถี่วิทยุประสิทธิภาพสูง แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อทำลายเซลล์ไขมันให้เป็นน้ำมันที่ชั้นใต้ผิวหนัง จากนั้นจึงดูดน้ำมันออกมาผ่านท่อขนาดเล็ก การทำ Body Tite ช่วยกระชับผิวได้ด้วย
อ่านเพิ่มเติม…
3. Coolsculpting
Coolsculpting (Zeltiq) คือ การดูดไขมันโดยใช้ความเย็นฆ่าเซลล์ไขมัน แล้วระบบน้ำเหลืองในร่างกายจะกำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เข็มเจาะผิวหนังแล้วดูดไขมันออกมาผ่านท่อ ทำให้ไม่มีรอยแผลทิ้งไว้ และผิวมีความเรียบเนียนเพราะชั้นไขมันมีการจัดระเบียบและบางลง
อ่านเพิ่มเติม…
การดูแลหลังดูดไขมัน
- ใน 6 ชั่วโมงแรกหลังดูดไขมันให้ดื่มน้ำเป็นปริมาณมาก เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- งดการอาบน้ำในวันแรกหลังทำ ให้เช็ดตัวแทน และต้องติดพลาสเตอร์กันน้ำที่แผล
- ทำแผลอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ
- งดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยที่สุด 2 สัปดาห์
- งดการรับประทานของหมักดอง และอาหารทะเล
- ให้ใส่ชุดกระชับหรือผ้ารัดบริเวณที่ดูดไขมัน เพื่อช่วยกระจายแรงดันและลดอาการบวม รวมถึงสวมใส่ชั้นในแบบไร้ขอบยางยืด และใส่เสื้อและกางเกงที่หลวมสบาย
- งดออกกำลังกายหนักๆ และไม่ควรยกของหนัง เพื่อไม่ให้แผลเปิด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการดูดไขมัน
1. ผู้ที่เป็นโรคประจำตัวไม่ควรดูดไขมัน
ที่เป็นโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะระบบของร่างกายอาจทำงานอย่างผิดปกติระหว่างดูดไขมัน และทำให้เกิดอาการช็อกได้ ดังนั้นต้องตรวจร่างกายและบอกข้อมูลโรคประจำตัวกับแพทย์ก่อนทำการดูดไขมัน
2. การดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนัก
อาจเป็นความเข้าใจผิดของหลายๆ คนว่าการดูดไขมันจะช่วยในการลดน้ำหนักด้วย แท้ที่จริงแล้วร่างกายจะสร้างไขมันกลับมาทดแทนไขมันที่ถูกดูดไปเสมอ เพื่อเป็นการคงสมดุลในร่างกาย เพียงแต่ไม่ใช่ในจุดที่ดูดไขมัน ดังนั้นถ้าไม่ควบคุมอาหารให้ดี ก็จะมีไขมันกลับมาสะสมตามส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
3. ต้องเลือกสถานที่ทำที่ได้มาตรฐาน
คลินิกหรือโรงพยาบาลดูดไขมันที่ดีต้องมีการจดทะเบียนถูกต้องสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงแพทย์ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา https://www.tmc.or.th/check_md/ ส่วนสภาพแวดล้อมของคลินิกต้องสะอาด เครื่องมือได้มาตรฐาน และแพทย์ยินดีให้คำปรึกษาโดยไม่ยัดเยียดการขายคอร์สจนเกินไป
4. ไขมันที่ดูดออกมานำไปเติมส่วนอื่นได้
ไขมันในร่างกายของเราเองเมื่อถูกดูดออกไปสามารถนำไปใช้เติมส่วนอื่นๆ ได้ เช่น คาง ริมฝีปาก แก้ม แต่ไม่ควรนำไปเสริมหน้าอก เพราะเซลล์ไขมันอาจจะมีอัตราการตายสูง และเมื่อเซลล์ไขมันตายจะมีหินปูนเล็กๆ มาเกาะทำให้สับสนว่าเป็นก้อนมะเร็งเต้านม ทำให้ต้องตรวจซ้ำอยู่บ่อยๆ หลังทำ
5. ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลตามต้องการ
หลังจากการดูดไขมัน ผิวบริเวณที่ทำจะมีอาการบวมหรือช้ำ ซึ่งต้องใช้เวลาในการพักฟื้น ซึ่งจะดีขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการดูแล เมื่อผิวกลับมาเป็นปกติก็จะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน
การดูดไขมันเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่อยากมีรูปร่างที่ดีอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหรือคุมอาหาร แต่จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การดูดไขมันไม่ใช่การทำให้ไขมันหายไปอย่างถาวร เพราะร่างกายจะสร้างไขมันขึ้นมาทดแทนให้มีความสมดุล ดังนั้นจึงต้องควบคุมอาหารและหมั่นออกกำลังกายเพื่อรักษาผลลัพธ์จากการดูดไขมันให้คงอยู่ได้นานที่สุด