ประโยชน์ของน้ำผึ้ง (Honey)…รับประทานอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ?

609
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง (Honey)

น้ำผึ้ง (Honey) มีรสชาติหอมหวาน เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ สามารถรับประทานได้ทั้งเป็นเครื่องดื่ม เครื่องปรุงรสในขนม อาหารต่างๆ รวมถึงเป็นยาก็ได้ ทำให้น้ำผึ้งได้รับความนิยมอยู่เสมอ ถ้ารับประทานอย่างเหมาะสมก็จะดีต่อสุขภาพ แต่ถ้ามากเกินไปก็เสี่ยงเกิดโรคได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนคิดรับประทานเพื่อบำรุงร่างกายจึงต้องศึกษาให้ดีก่อนด้วย

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

1. แก้ไอ แก้เจ็บคอ

ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่นและน้ำมะนาวเล็กน้อย จิบในช่วงไอและเจ็บคอ จะทำให้บรรเทาอาการได้มาก

2. แก้ท้องผูก

ในน้ำผึ้งมีโพรไบโอติกส์ และทำงานได้ดีกับแบคทีเรียประเภทแลตโตบาซิลัส การจิบน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยแก้อาการท้องผูก

3. สมานแผลในกระเพาะ

น้ำผึ้งมีฤทธิ์สมานแผล การกินน้ำผึ้งจะช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย เหมาะกับผู้ป่วยโรคกระเพาะมาก

4. ช่วยให้นอนหลับสบาย

น้ำผึ้งมีความหวานที่กระตุ้นการผลิตอินซูลินและเซโรโทนิน โดยเซโรโทนินจะเปลี่ยนเป็นเมลาโทนินที่ส่งผลให้เรารู้สึกง่วงนอน

5. บรรเทาอาการภูมิแพ้

น้ำผึ้งมีอนุมูลของละอรเกสรอยู่ ทำให้ร่างกายกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและหลั่งสารฮีสตามีนที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้น้อยลง

6. ฆ่าเชื้อโรคในกระเพาะลำไส้

หากมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ให้นำน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นแล้วจิบ ก็จะบรรเทาอาการได้เพราะน้ำผึ้งสามารถฆ่าเชื้อโรคในกระเพาะลำไส้ได้นั่นเอง

7. ช่วยให้หายเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย

น้ำผึ้งมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อุดมด้วยกลูโคสและฟรุกโตส ซึ่งซึมเข้าสู่เส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้อาการอ่อนเพลียดีขึ้นในเวลาไม่นาน

การรับประทานน้ำผึ้งให้ได้ประโยชน์

1. ดื่มเวลาเช้า

น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา ผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้า จะทำให้รู้สึกสดชื่นตลอดวัน

2. ดื่มเวลาเจ็บคอ

น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก และน้ำร้อนเพื่อละลายส่วนผสมให้เข้ากัน ค่อยๆ จิบทีละนิด อาการเจ็บคอจะดีขึ้น

3. ดื่มเวลาดึก

น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น ดื่มก่อนนอน จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับได้ง่ายขึ้น

ข้อควรระวังในการรับประทานน้ำผึ้ง

  • น้ำผึ้งมีน้ำตาลกลูโคสและฟรักโทสปริมาณมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
  • ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้งเกิน 50 กรัม ต่อวัน ซึ่งเฉลี่ยประมาณ 1-2 ช้อนชา
  • คนที่ป่วยท้องเสีย ไม่ควรกินน้ำผึ้ง เพราะน้ำผึ้งดูดน้ำทำให้ถ่ายอุจจาระมากขึ้น
  • ไม่ควรกินน้ำผึ้งกับน้ำเต้าหู้ เพราะจะทำให้ท้องเสียง่าย และคุณค่าโภชนาการด้อยลงจากการทำปฏิกิริยาระหว่างเอนไซม์และแร่ธาตุของน้ำผึ้งและเต้าหู้
  • เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมีสปอร์ของเชื้อโรคที่อาจทำให้เกิดโรคโบทูลิซึ่ม หรือโรคผิดปกติทางระบบประสาทเฉียบพลันได้
  • ไม่ควรกินพร้อมกุยช่าย เพราะจะทำให้ท้องเสียมาก เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และกุยช่ายก็มีเส้นใยมาก

น้ำผึ้งนอกจากใช้ดื่มเพื่อสุขภาพแล้ว ยังสามารถนำไปบำรุงผิวพรรณได้ด้วย โดยน้ำผึ้งที่ดีควรเป็นน้ำผึ้งแท้ 100% และไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์เพราะจะมีสารอาหารมากกว่า และไม่มีน้ำตาลผสม ซึ่งจะมีผลดีต่อสุขภาพน้อยลง