วิธียกกระชับหน้า แก้ผิวหย่อนคล้อย แบบศัลยกรรมและไม่ศัลยกรรม

453
วิธียกกระชับหน้า แก้ผิวหย่อนคล้อย

ใครที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้า ผิวหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง กระชับดังเดิม ก็คงเริ่มกังวลใจ มีความมั่นใจลดน้อยลง ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยแก้ปัญหานี้ โดยช่วยยกระชับผิวให้กลับมาเต่งตึง เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย ดูอ่อนเยาว์ลงไปได้หลายปี ซึ่งวิธียกกระชับหน้านั้นมีทั้งแบบศัลยกรรมและแบบไม่ศัลยกรรม

วิธีการลดเหนียง

สาเหตุของใบหน้าหย่อยคล้อย

1. อายุ

เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ผิวก็เสื่อมสภาพ ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง และใบหน้าก็หย่อนคล้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลก โดยเมื่ออายุ 20 ปลายๆ จะเมมีริ้วรอยรอบดวงตา ส่วนอายุ 30 จะเกิดรอยตีนกา รอยย่นตรงหัวคิ้ว อายุ 40 จะเกิดรอยเหี่ยวย่อนรอบดวงตา ริมฝีปาก หน้าผาก และหว่างคิ้ว

2. แสงแดด

รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ซึ่งถ้าถูกทำลายไปมากๆ ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยได้

3. ความเครียด

ความเครียดส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้นเมื่อร่างกายทำงานไม่ปกติ ฮอร์โมนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ชั้นผิวหนังที่ขับของเสียทำหน้าที่บกพร่อง ผิวแห้งกร้าน ทำให้เกิดริ้วรอยในที่สุดและดูแก่กว่าวัยได้

4. นอนไม่พอ

การนอนพักผ่อนให้เพียงพอจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย แต่ถ้านอนหลับไม่เพียงพอเซลล์ต่างๆ ก็จะไม่ได้รับการฟื้นฟู ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้เร็ว

5. มลภาวะ

ไม่ว่าจะควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ฝุ่นละออง หรือสารเคมีต่างๆ สิ่งเหล่านี้มีส่วนในการทำลายคอลลาเจน ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ จึงทำให้ผิวเหี่ยวและหย่อนคล้อยในที่สุด

วิธีการยกกระชับหน้าแบบศัลยกรรม

การยกกระชับหน้าแบบศัลยกรรม หรือการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift Surgery) เหมาะสำหรับผู้ที่ใบหน้าหย่อนคล้อยมาก เช่น ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปและเซลล์ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ ฟื้นฟูช้า การศัลยกรรมจะทำให้เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ดูอ่อนกว่าวัยได้ 10-15 ปี และคงอยู่ได้หลายปี

การผ่าตัดดึงหน้าจำเป็นต้องดมยาสลบ ซึ่งศัลยแพทย์จะเปิดแผลแล้วเย็บยกกระชับใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการหย่อนคล้อยที่แก้ม คาง และคอได้ ส่วนถ้าบางรายมีไขมันสะสมมากอาจใช้การดูดไขมันร่วมด้วย ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ ริ้วรอยลดน้อยลง

ยกกระชับหน้า

วิธีการยกกระชับหน้าแบบไม่ศัลยกรรม

การยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมนั้นมีอยู่หลายวิธีและเห็นผลได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 2 ปี แต่ใช้เวลาพักฟื้นหลังทำไม่นาน

1. เลเซอร์ (Laser)

เลเซอร์ (Laser) คือ การยิงแสงเลเซอร์ไปยังบริเวณที่ผิวมีปัญหา เพื่อรักษาหรือปรับสภาพผิว การเลเซอร์ผิวหนังแบ่งได้หลายชนิดตามกลุ่มอาการของผิวหนัง ดังนี้

  • เลเซอร์เพื่อปรับสภาพผิว ไม่ว่าจะริ้วรอย หลุมสิว ก็สามารถปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นได้ เช่น Fractional CO2 Laser และ Fraxel Laser เป็นต้น
  • เลเซอร์เพื่อลบรอยแผลเป็น โดยรอยแผลเป็นเกิดจากร่างกายผลิตคอลลาเจนออกมามากหรือน้อยเกินไป การเลเซอร์จะช่วยแก้ไขผิวนั้นให้กลับมาเรียบสวยดังเดิม เช่น PicoWay Laser
  • เลเซอร์ลบรอยสัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลบรอยสัก ซึ่งหมึกสีดำจะลบง่ายที่สุดเพราะหมึกสีดำดูดซึมแสงจากเลเซอร์ดีที่สุด เลเซอร์ที่สามารถลบรอยสักได้คือ PicoWay Laser ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ลบรอยแผลเป็นได้นั่นเอง
  • เลเซอร์กำจัดขน เป็นการกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์อย่างถาวร สามารถเห็นผลได้ชัดกับผู้ที่มีผิวขาว และขนสีเข้ม เพราะจะดูดซับพลังงานจากเลเซอร์ได้ดี ยกตัวอย่างเลเซอร์ที่ใช้กำจัดขน เช่น Yag Laser
  • เลเซอร์ยกกระชับผิว เป็นเลเซอร์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวกระชับ ไม่หย่อนคล้อย ยกตัวอย่างเช่น Deep Lifting, Smile Lift

ข้อดีของการทำเลเซอร์

  • เห็นผลได้อย่างชัดเจนในการทำ 3-5 ครั้งขึ้นไป
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ

2. ฟิลเลอร์ (Filler)

ฟิลเลอร์ (Filler) คือการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปยังชั้นผิวหนังเพื่อแก้ปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย เมื่อฉีดแล้วจะทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบมากขึ้น เช่น เมื่อฉีดร่องแก้วก็จะทำให้ผิวอิ่มเอิบ ดูอ่อนกว่าวัย โดยสารเติมเต็มมี 2 ประเภทคือ

  • ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler) เช่น กรดไฮยาลูรอน เป็นสารสกัดธรรมชาติ สามารถสลายตัวได้เองใน 4-6 เดือน จึงมีความปลอดภัยสูง
  • ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler) เช่น เม็ดพลาสติก ซิลิโคน หรือน้ำมันพาราฟิน เป็นฟิลเลอร์ที่อยู่ได้ถาวรแต่อันตราย จึงไม่แนะนำ

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • เห็นผลอย่างชัดเจนในเวลาไม่กี่วัน
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
  • มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย และสารเติมเต็มอย่างกรดไฮยาลูรอนยังได้รับรองความปลอดภัยจาก อย. อีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง …

3. โบท็อกซ์ (Botox)

โบท็อกซ์ (Botox) คือสาร Botulinum toxin A ที่สกัดได้จากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ถ้าได้รับเข้าร่างกายปริมาณมากจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ถ้าได้รับปริมาณน้อยจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ในทางการแพทย์จึงนำโบท็อกซ์มาใช้เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยจางลง และช่วยในการยกกระชับผิวหนัง

ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์

  • สำหรับริ้วรอยตื้นสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วันหลังฉีด ส่วนริ้วรอยลึกเห็นผลได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • นอกจากยกกระชับหน้า ลดริ้วรอยแล้ว ยังช่วยปรับรูปหน้าเพราะทำให้กล้ามเนื้อเล็กลง เหมาะกับคนที่ต้องการลดขนาดกราม
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน
บทความที่เกี่ยวข้อง …

4. เทอร์มาจ (Thermage)

เทอร์มาจ (Thermage) คือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง Radio Frequency หรือ RF ปล่อยพลังงานลงไปในชั้นผิวถึงชั้นไขมัน ด้วยเทคนิค Monopolar Capcitive Radiofrequency (mcRF) ทำให้คอลลาเจนที่หย่อนคล้อยหดตัว กระชับขึ้น และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันเยอะและผิวไม่เรียบเนียนจากเซลลูไลท์

ข้อดีของเทอร์มาจ

  • เห็นผลได้อย่างรวดเร็วหลังทำ
  • ไม่ต้องพักฟื้น แต่งหน้าได้ตามปกติ
  • ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้งแบบเลเซอร์
  • ผลข้างเคียงน้อยและปลอดภัย
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี
บทความที่เกี่ยวข้อง …

5. อัลเทอร่า (Ulthera)

อัลเทอร่า (Ulthera) คือการใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงในรูปแบบ Focused Ultrasound ส่งเข้าไปยังชั้นผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ โดยแต่ละจุดห่างกันสม่ำเสมอประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรลาสต์ให้หดตัว ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เหมือนการผ่าตัดดึงหน้า แต่อัลเทอร่าจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินด้วย เหมาะกับคนที่ผิวไม่กระชับ เช่น แก้มหย่อนคล้อย

ข้อดีของอัลเทอร่า :

  • เห็นผลได้อย่างรวดเร็วหลังทำ
  • ไม่ต้องพักฟื้น แต่งหน้าได้ตามปกติ
  • มีความปลอดภัยสูงเพราะส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปยังจุดที่ต้องการรักษาอย่างตรงจุดจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบริเวณอื่น
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี
บทความที่เกี่ยวข้อง …

6. ไฮฟู (HIFU)

ไฮฟู หรือ HIFU ย่อมาจาก High Intensity Focus Ultrasound คือการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งเข้าไปยังชั้นผิวหนังเพื่อทำให้เนื้อเยื่อหดตัว เหมือนการเย็บกล้ามเนื้อเพื่อดึงหน้า ทำให้ผิวดูกระชับและอ่อนวัยขึ้น จึงมีความปลอดภัยสูง และไฮฟูสามารถทำได้บริเวณผิวใต้ตาและรอบดวงตาได้โดยตรงเพราะคลื่นอัลตราซาวด์ไม่อันตรายต่อดวงตา

ข้อดีของไฮฟู

  • เห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 2 เดือนขึ้นไป และคงสภาพได้ 6 เดือนถึง 1 ปี
  • สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการพร้อมกับการรักษาอย่างอื่น เช่น การเลเซอร์
  • ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น แต่งหน้าได้เลยตามปกติ

7. ร้อยไหม (Thread lift)

ร้อยไหม (Thread Lift) คือ การใช้ไหมละลายเส้นเล็กมาร้อยเป็นเครือข่ายใต้ผิวหนัง ซึ่งไหมนี้จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและสร้างเส้นใยคอลลาเจนตามรอบแนวเส้นไหม ทำให้เกิดการดึงรั้งผิวหนัง ใบหน้ากระชับขึ้น และไหมละลายสามารถสลายไปได้เองไม่ต้องผ่าตัด มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก อย. นิยมทำบริเวณแก้ม ขากรรไกร หน้าผาก ร่องจมูก

ข้อดีของร้อยไหม

  • เห็นผลได้ทันทีหลังทำ
  • ผลข้างเคียงน้อย ปลอดภัย
  • ไหมละลายสามารถสลายตัวได้เองภายใน 8 เดือน

อย่าลืมว่าแม้ทุกคนจะต้องเจอกับริ้วรอยและความหย่อนเมื่ออายุมากขึ้น แต่ปัญหาผิวและสภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การรักษาที่เหมาะสมก็ย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้วินิจฉัยว่าผิวของเราควรได้รับการรักษาแบบไหนจึงจะดีที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การยกกระชับใบหน้าให้มีประสิทธิภาพที่สุด